September 01, 2011

Bitter Sweet and Strange


          วันนี้ก็เป็นวันปกติเฉกเช่นทุกวัน ผมมาเปิดร้านตั้งแต่ 10 โมง จัดวางแผ่นซีดีตามชั้นวาง ตรวจดูความเรียบร้อย เลือกแผ่นมาเปิดเพลงไว้ดึงดูดลูกค้า ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเป็นเพลงต่างประเทศที่ออกแนวฟังง่ายๆ สบายๆ มีบ้างบางครั้งที่เปิดเพลงร็อคเก่าๆ ตามอารมณ์ หรือเพลงแจ๊ซตามความชอบส่วนตัว แต่เพลงที่แทบจะไม่เปิดเลยก็คือพวกเพลงวัยรุ่นสมัยใหม่ ไม่ว่าจะเป็นศิลปินไทยหรือต่างประเทศก็ตาม

          ผมไม่เคยรู้สึกว่าเพลงพวกนี้มันน่ารื่นรมย์เลย แม้ผู้จัดการร้านจะพร่ำบอกเสมอว่าให้เปิดเพลงใหม่ๆ ตามสมัยนิยมบ้าง จะได้เรียกลูกค้ารุ่นใหม่เข้าร้าน ผมก้ไม่เคยสนใจ เพราะลูกค้าวัยรุ่นก็มีไม่น้อยที่เข้ามาเลือกซื้อเพลงเก่า หรือเพลงนอกตลาดใหม่ๆ ดูอย่างผมเอง (ผมก็ยังวัยรุ่นอยู่นิดหน่อยนะ) ยังมีรสนิยมชอบเพลงเก่า เพลงแจ๊ซ เพลงคลาสสิก และที่สำคัญ พวกเพลงสมัยใหม่ก็ไม่ใช่สินค้าหลักของร้านสักหน่อย ลูกค้าที่ฟังแนวนี้ก็ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายของร้าน ที่มีขายเพียงเพื่อไม่ให้เสียชื่อ (หรือเสียรายได้) เวลามีคนมาถามถึงเท่านั้น

          แม้หลายๆ คนจะเรียกอาชีพที่ผมทำอยู่ว่า พนักงานขาย แต่ผมไม่เคยขายของเลย แต่ละวันที่ผมทำนั้นคือการแลกเปลี่ยน การให้ข้อมูลข่าวสาร การแบ่งปันสิ่งต่างๆ ให้กับผู้คนมากหน้าหลายตาที่เดินเข้ามา ผมยินดีที่จะพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับบทเพลง ดนตรี ศิลปิน มากกว่าจะพยายามชักจูงให้เขาซื้อแผ่นนั้นแผ่นนี้ ซื้อทีละเยอะๆ ซึ่งพฤติกรรมนี้เป็นงานประจำของคุณผู้จัดการ ก็แน่ล่ะ เขาได้ส่วนแบ่งจากยอดขาย ไม่ผิดหรอกที่เขาจะทำแบบนั้น ส่วนผมน่ะ ต่อให้เป็นเจ้าของร้านก็ไม่ทำอย่างนั้นแน่ มันผิดกับนิสัยส่วนลึกและหลักมนุษยธรรม (ที่นับวันจะจางหายไปท่ามกลางบรรยากาศทุนนิยม) และอย่างที่คาดเดาได้ ไอ้ผู้จัดการก็มักจะเอ็ดผมเป็นประจำเวลาคุยกับลูกค้านานๆ โดยเฉพาะลูกค้าที่ไม่ได้ซื้ออะไรเลย

          โชคดีที่วันนี้ผู้จัดการร้านไม่มา และโชคดียิ่งกว่าเพราะลุงเจ้าของร้านมา ผมสนิทกับลุงมาก เพราะรสนิยมใกล้เคียงกัน เราจึงคุยกันถูกคอ ช่วงที่ไม่มีลูกค้า เราก็หาเรื่องคุยกันได้ไม่มีเบื่อ แล้วแกก็จะนั่งอยู่ในเคาเตอร์ เป็นพนักงานขายเสียเอง แกไม่เคยถือตัวเลยสักนิด ไม่เคยป่าวประกาศว่าข้าคือเจ้าของร้านเลยสักครั้ง

          วันนี้มีลูกค้าประปราย ผมจัดซีดีตามชั้นวาง บ้างก็หยิบขึ้นมาดู เป็นการศึกษาหาข้อมูลไปในตัว จนดูเผินๆ แล้ว ก็เหมือนผมเป็นลูกค้าคนหนึ่ง

          ยามเย็นที่แสงตะวันเริ่มเป็นสีแสดบทเพลงแจ๊ซฟังสบายๆ ของนอร่าห์ โจนส์ ความทุ้มของเบสและจังหวะกลอง สอดคล้องไปกับเสียงเปียโน เสียงร้องดังขึ้นจณะที่ผมมองออกไปนอกหน้าต่าง มันราวกับว่าเสียงเพลงดังมาจากแสงที่สาดส่องมาจากขอบฟ้า

          แล้วเสียงกระดิ่งประตูก็ดังขึ้น ผมต้องหันกลับไปเพื่อให้แน่ใจว่ามีคนเข้ามาไม่ใช่คนออกไป แล้วผมก็พบกับเธอคนนั้น เดินเข้ามาพร้อมกับเพื่อนสาว

          ผมไม่ใช่คนที่ประทับใจผู้หญิงได้ง่ายนัก และเธอเองก็ไม่ถึงขนาดสวยสะคราญดั่งนางฟัา (แบบที่เพลงวัยรุ่นชอบบรรยายผ่านเนื้อร้อง คอยสร้างค่านิยมผิดๆ ให้กับสังคม) ถึงกระนั้น เธอก็มีเสน่ห์ดึงดูดอย่างน่าประหลาด เธอไม่ได้ดูน่ารักสดใส ดวงตาเธอดูดุๆ ด้วยซ้ำ แต่ในแววตานั้น ผมรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่ผมเองก็อธิบายไม่ได้ มีเพียงทางเดียวที่จะรู้ และเป็นหนทางที่ผมเห็นด้วยสุดๆ คือการเข้าไปค้นหาคำตอบโดยทำความรู้จักกัน แต่จะทำอย่างไรล่ะ ผมก็แค่ผู้ชายหน้าตาธรรมดาที่ไม่ถนัดเรื่องชู้สาวเลยแม้แต่น้อย

          เพื่อนของเธอดูเลือกแผ่นซีดีอย่างพิถีพิถัน จากแผ่นที่เธอเลือกดูนั้นบ่งชัดว่าเธอเป็นนักฟังเพลงขนาดแท้ ผิดกับตัวเธอที่ผมชำเลืองมองตลอดเวลา ที่เพียงแค่หยิบมาดูผ่านๆ เธออาจไม่ใช่นักฟังเพลง เลยไม่ค่อยรู้จักอัลบั้มโซนนั้นเท่าไร หรือเธออาจไม่อยู่ในอารมณ์ที่ต้องการเพลงใหม่ๆ หรือจริงๆ แล้ว เธออาจจะแค่เลือกดูนิดๆ หน่อยๆ เพื่อเก็บข้อมูลเป็นแนวทาง แล้วค่อยไปหาดาวน์โหลดเอา ก็เป็นได้

          เธอเดินเลือกไปเรื่อย แยกจากเพื่อนเธอ จนมาอยู่ข้างๆ ผม ผู้ชายที่เมื่อสักครู่ยังเลือกดูซีดี ดื่มด่ำกับบทเพลงและทิวทัศน์ภายนอก บัดนี้กลายเป็นไอ้โรคจิตที่คอยแอบมองผู้หญิงที่เขาแอบประทับใจเมื่อแรกเห็นอยู่ไม่ห่าง

          ผมยังคงชำเลืองมองแบบไม่ให้เธอสังเกตได้ แต่ใจจริงก็อยากให้เธอรู้ตัวสักนิด เผื่อจะมีโอกาสได้สบตากัน สักครึ่งวินาทีก็เพียงพอ

          แล้วผมก็เห็นเธอหยิบอัลบั้มหนึ่งออกมา เพ่งพินิจอยู่นาน ก่อนจะเดินไปหาเพื่อนแล้วบอกว่า

          "เราชอบแผ่นนี้"

          เพื่อนเธอก็หยิบมาดูแล้วยิ้ม ก่อนจะส่งคืนให้ แล้วก็เป็นไปอย่างที่ผมคิด เธอเดินกลับมาวางไว้ที่เดิม

          พอเธอเดินไปทางอื่น ผมก็แอบย่องไปหาลุง บอกให้ลุงช่วยเปิดอัลบั้มรวมเพลงดีสนีย์ให้หน่อย เลือกแทร็คเพราะๆ นะ คุณลุงเองก็มองผมพร้อมกับยิ้มกรุ้มกริ่มเหมือนจะรู้ความนัยในจุดประสงค์ของผม

          แต่แล้วสิ่งที่ผมไม่อยากให้เกิดขึ้นก็เกิดขึ้น เมื่อเสียงหนึ่งแว่วเข้าหูผม

          "ไปกันเถอะ ไม่รู้จะซื้ออะไร"

          เพื่อนเธอชวนเธอออกจากร้านนั่นเอง

          ขณะที่ทั้งคู่กำลังเดินผ่านผมไปเพื่อออกจากร้าน ในใจผมได้แต่เสียดาย อยากจะใช้เวลาร่วมกันให้มากกว่านี้ แม้เราจะไม่รู้จักกันก็ตาม ผมจึงพูดออกไปว่า

          "กลับแล้วหรอ ฟังเพลงนี้ก่อนสิ... เพราะนะ" ด้วยน้ำเสียงที่ผมคิดว่าเป็นมิตรที่สุด

          แล้วเพลง Beauty and the Beast ก็ดังขึ้น แผนการสำเร็จแบบไม่คาดคิด เธอกับเพื่อนหยุดเพื่อฟัง เพื่อนเธอดูพอใจกับเสียงที่ได้ยิน แต่ตัวเธอนั้น ผมไม่มั่นใจนักว่าเธอคิดหรือรู้สึกอย่างไร สีหน้าเธอดูคลางแคลงใจมาก เห็นได้ชัดว่าเธอไม่รู้จะทำหน้าอย่างไรที่อยู่ๆ ก็มีชายแปลกหน้ามาชวนเธอให้ฟังเพลงด้วยกัน

          เขาเป็นใคร พนักงานขายหรือเปล่า แล้วฉันจะทำอย่างไร ออกไปเลยดี หรือจะเดินไปซื้อซีดี หรือจะฟังเพลงต่อจนจบ เพื่อนฉันก็ดูไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรเลย

          เธอเริ่มดูกังวลมากขึ้นกับปัจจุบันกาล ผมได้แต่ยิ้มให้เธอ แต่เธอก็ทำตาดุใส่ราวกับจะบอกว่า

          "ยิ้มทำไม ใครให้ยิ้ม!"

          ทันใดนั้นเอง ผมก็ได้รับการช่วยชีวิตจากลุงที่มองสถานการณ์อิหลักอิเหลื่อของผมออก ด้วยคำพูดที่โดนใจผมสุดๆ

          "ฟังเพลงก่อนก็ได้หนู ลุงเปิดให้ฟัง ไม่ได้จะขายของ ฟังเพลงเพราะๆ ก่อนกลับบ้าน ไม่เห็นต้องรีบไปไหน บทเพลงมันมีคุณค่าทางจิตใจเยอะนะ บางครั้งก็ทำให้เราจดจำเหตุการณ์ประทับใจได้ดีขึ้น บางบทเพลงเมื่อดังขึ้น ความทรงจำเราก็หลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย ต่อไปเพลงนี้อาจทำให้ใครบางคนจดจำช่วงเวลานี้ไปอีกนานมิรู้ลืมก็ได้"

          ลุงพูดกับเธอคนนั้นพร้อมรอยยิ้มตลอดเวลา ก่อนจะหันมาสบตาผมแล้วยักคิ้วข้างเดียวให้หนึ่งที ผมทำอะไรไม่ถูกเช่นเคย ได้แต่ยิ้มแก้เขินขณะหันกลับไปมองหน้าเธอ คราวนี้สายตาดุๆ คู่นั้นหายไปแล้ว เหลือเพียงแววตาที่เหมือนจะเริ่มเข้าใจอะไรบางอย่าง

          แล้ววันนี้ก็ผ่านพ้นไป เป็นวันปกติเฉกเช่นทุกวัน หากแต่สิ่งที่เกิดขึ้นในใจผมนั้น จะทำให้ผมจดจำวันธรรมดาวันนี้ไปตลอดกาล