April 20, 2009

เช้าเหงาๆ ในวันฝนตก

เช้านี้ฉันตื่นขึ้นมาพร้อมกับเสียงฝนตก ฉันคิดว่านี่ไม่ใช่ฤดูกาลที่ฝนควรจะตกเลย แต่ในเมื่อมันตกลงมาแล้ว และมันทำให้ฉันตื่น ฉันจึงคิดอีกทีว่ามันคงได้บรรยากาศดีไปอีกแบบเหมือนกัน

ฉันลุกขึ้นอย่างช้าๆ ไม่มีความจำเป็นต้องรีบร้อนอะไร ในวันฝนตกเช่นนี้ถ้าไม่มีธุระสำคัญฉันก็จะเลือกดื่มด่ำกับบรรยากาศอยู่ที่บ้านตัวคนเดียว ฉันล้างหน้าแปรงฟันเหมือนเช่นทุกวัน แต่วันนี้ฉันจะไม่อาบน้ำ ฉันรู้สึกว่าการอาบน้ำเป็นเหมือนการต้อนรับตัวเองเข้าสู่วันใหม่ ซึ่งในวันนี้ ฝนเกิดตกโดยที่ฉันไม่ต้องการ ฉันจึงไม่คิดจะต้อนรับวันนี้อย่างเป็นทางการ และบางทีฉันคิดอีกว่า ตัวฉันนั้นไม่เห็นจะสกปรกอะไรมากมายเลย ซึ่งมันคงไม่แย่ไปกว่านี้มากนักกับการไม่อาบน้ำแค่ครั้งเดียว

ถ้าสมมติในวันหนึ่งคนเราอาบน้ำกันได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ฉันเลือกที่จะอาบในตอนเช้า ด้วยเหตุผลที่ได้บอกไปแล้ว การเข้านอนโดยไม่อาบน้ำคงไม่ทำให้ร่างกายของฉันเน่าหรอก

จริงๆ แล้วฉันจะอาบน้ำในวันนี้ก็ได้นะ จะว่าไปฉันก็อาบน้ำได้ทุกเวลานั่นแหล่ะ เพราะฉันเป็นคนอาบน้ำเร็ว จนพวกผู้ชายหลายๆ คนยังตกใจเลย เพราะส่วนใหญ่พวกผู้หญิงจะอาบน้ำกันนานมาก ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าจะขัดถูอะไรกันนักกันหนา หรือจะแอบไปลอกคราบในห้องน้ำกัน ถ้าอย่างนั้นฉันก็คงแปลกกว่าผู้หญิงคนอื่นล่ะ เพราะตั้งแต่เกิดมาฉันยังไม่เคยลอกคราบเลยสักครั้ง แล้วคนเรามันลอกคราบกันได้จริงๆ เหรอ ส่วนใหญ่ที่เคยเห็นก็มักจะมีคนอื่นมาลอกคราบให้โดยที่เจ้าตัวไม่ค่อยจะเต็มใจนัก

การอาบน้ำเร็วของฉันนี่มีประโยชน์มากกว่าที่คิดนะ ฉันเคยไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อนชายของฉัน เขาไม่ใช่แฟนฉันหรอก จริงๆ ตอนนั้นก็ใกล้จะเป็นแฟนกันแล้วล่ะ ฉันยอมรับว่าเริ่มชอบเขาเหมือนกันหลังจากที่รู้จักกันมาสามเดือน เราก็ไปไหนมาไหนด้วยกันสองคนบ่อยๆ ทั้งดูหนัง กินข้าว เดินช็อปปิ้ง โดยที่เขาไม่เคยล่วงเกินฉันเลย แล้วมาวันหนึ่งเขาก็ชวนฉันไปเที่ยวทะเล ฉันเองก็อยู่ในช่วงเครียดๆ เซ็งๆ กับเรื่องงาน ก็เลยไปกับเขา เขาบอกฉันว่าไปกันสองคนนะ ฉันก็ไม่ว่าอะไร ไม่ได้คิดอะไรอยู่แล้ว หรือหากเกิดอะไรขึ้นฉันก็ไม่กลัว ฉันเป็นผู้หญิงห้าวๆ ขวานผ่าซากจนผู้ชายหลายๆ คนไม่ค่อยกล้าหือกับฉัน รวมทั้งเขาด้วย

“ไปเสม็ด เสร็จทุกราย” ก็แล้วไงล่ะ ฉันกับเขาตัดสินใจไปเกาะเสม็ดกัน ฉันไม่แคร์อะไรกับประโยคนั้นหรอก เพราะฉันได้ยินมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว ซึ่งที่ฉันได้ยินมานั้น คำว่า “เสร็จ” มันหมายถึง “อาการเมาคลื่น” นั่นเอง

เมื่อถึงเกาะ เราเลือกที่พักทางท้ายเกาะเพื่อหลีกเลี่ยงความวุ่นวายจากนักท่องเที่ยวทั้งหลาย เมื่อถึงที่พัก ฉันก็พักผ่อนเพื่อคลายความอ่อนล้าจากการเดินทางและอาการเมาคลื่นที่ยังคงวนเวียนอยู่รอบๆ ตัว ฉันเผลองีบหลับไปไม่นานก็ต้องสะดุ้งตื่น เพราะฉันรู้สึกเหมือนอยู่บนเรือที่โอนเอนไปตามคลื่นลมตลอดเวลา

เราสองคนกินข้าวเย็นกัน แล้วกลับเข้าไปดูทีวีกันในห้อง ฉันก็นอนห้องเดียวกับเขานี่แหล่ะ บอกแล้วไงว่าฉันไม่ได้คิดอะไร ฉันขอตัวไปอาบน้ำ พออาบเสร็จฉันก็พุ่งพรวดออกมา(แต่งตัวเสร็จตั้งแต่ในห้องน้ำแล้ว) แล้วก็เห็นเขากำลังหยิบของออกจากกระเป๋าเสื้อผ้า พอเขาเห็นฉันเขาก็ลุกลี้ลุกลน คงตกใจที่ฉันอาบน้ำเร็ว แต่ฉันก็สังเกตว่าคงไม่ใช่อาการลนธรรมดาแล้ว มันเหมือนเขาซ่อนอะไรบางอย่างอยู่ เขาคงสะดุ้งตั้งแต่ได้ยินเสียงเปิดประตูก่อนจะเห็นฉันออกมาเป็นแน่ ทำให้ของที่เขาตั้งใจจะหยิบหล่นลงพื้นไปอันหนึ่ง ฉันเห็นแล้วไม่ตกใจอะไร แต่รู้สึกโกรธมากกว่า นี่เขาต้องคิดอะไรแบบนั้นตั้งแต่เอ่ยปากชวนฉันแน่ๆ หรือบางทีเขาอาจจะคิดแบบนั้นกับฉันตั้งแต่เริ่มรู้จักกันเลยก็ได้ เข้าใจทำนักนะ หลอกให้ฉันตายใจ

ฉันตัดสินใจเดินออกจากห้อง(ไม่ลืมหยิบสัมภาระมาด้วย) ไปติดต่อหาห้องพักที่รีสอร์ทใกล้ๆ ก่อนออกมาฉันบอกกับเขาว่า ถ้าตามมา นายตายแน่! ก็ทำให้เขาไม่ตามมา ฉันไม่รู้ว่าเขากลัวตายหรือรู้สึกผิดกันแน่ แต่ที่แน่ๆ คือ ฉันพูดจริง

เช้ารุ่งขึ้นฉันก็กลับเข้าฝั่ง หาที่เที่ยวคนเดียวไปเรื่อยโดยไม่สนใจเขาอีกเลย ฉันหายโกรธเขาแล้ว แต่ไม่มีวันให้อภัยเขาเด็ดขาด ไม่มีเหตุผลที่ฉันจะกลับไปคุยกับเขา ฉันขอตัดขาดจากผู้ชายคนนี้

จนมาถึงวันที่ฝนตกอย่างไม่เต็มใจนักในวันนี้ก็ครบสามเดือนพอดีนับจากวันนั้น ฉันยังคงยืนกรานความคิดว่าจะไม่อาบน้ำ ฉันเดินไปชงกาแฟสุดขมที่ฉันชอบ เปิดเพลงแจ๊ซจากซีดีแผ่นโปรด หยิบหนังสือเล่มที่อ่านไม่เคยเบื่อ ฉันนั่งลงข้างหน้าต่าง เอื้อมมือไปเปิดมันเพื่อรับลมและไอชื้นจากสายฝน ฉันค่อยๆ เปิดหนังสือ จุดบุหรี่สูบ จิบกาแฟ แล้วแมลงเต่าทองก็บินมาเกาะที่หน้ากระดาษ ฉันไม่สนใจสีสันที่สะดุดตาของมัน พยายามที่จะอ่านหนังสือต่อไป แต่ยังไม่ทันอ่านรู้เรื่องดี ฉันก็รู้สึกว่าตัวเองไม่มีสมาธิเอาเสียเลย ฉันวางนิ้วเพื่อให้เต่าทองไต่ขึ้นมาก่อนที่จะปิดหนังสือ จากนั้นฉันก็ทอดสายตาไปอย่างไร้จุดหมาย พ่นควันออกมาเบาๆ ก่อนจะเงี่ยหูฟังเพลงที่คุ้นเคยพลางคิดในใจว่า ถ้ามีเขามานั่งเล่นกีตาร์ให้ฟังก็คงจะดีไม่น้อยเลย

คำกล่าวโทษจากสายฝน

เช้าวันนี้เป็นเช้าที่สดใส ไอดินกลิ่นหญ้าปะปนอยู่กับความชื้นในอากาศ แม้แต่ในเมืองที่วุ่นวายเช่นนี้ก็ยังมีกลิ่นที่เต็มไปด้วยความสดชื่น แสงแดดอ่อนๆ ส่องผ่านเข้ามาพร้อมกับลมเย็นๆ ชวนให้ใครต่อใครรู้สึกเหมือนได้ชุบตัวก่อนจะออกไปผจญกับโลกภายนอก สำหรับคนอื่นทั่วไปแล้วมันก็คงแค่นั้น เมื่อพวกเขาต้องพบกับความโกลาหลที่วิ่งพล่านอยู่ในทุกรูขุมขนของคนเมือง ไม่นานพวกเขาก็จะลืมช่วงเวลาเหล่านี้ไป

สำหรับผมแล้วช่วงยามอันงดงามอย่างตอนนี้เปรียบเสมือนสวนสวรรค์กลางทะเลทรายอันทำให้ผมได้ผ่อนคลายจากการต้องอยู่กับการถูกหลอกหลอนตลอดทั้งคืน ช่วงยามนี้จึงเป็นห้วงเวลาที่มีความหมายและมีความสำคัญสำหรับผมมาก แทนที่ผมจะลืมมันอย่างคนอื่น แต่กลับกลายเป็นว่ามันทำให้ผมลืมเรื่องราวอื่นๆ ที่ได้ผ่านเข้ามา ผมพยายามจะจดจำภาพที่ปรากฏเบื้องหน้านี้พร้อมกับกลิ่นที่ลอยมาตามลม และเสียงอันไพเราะให้ได้อย่างแม่นยำไปตลอดทั้งวัน นอกจากจะทำให้ผมไม่ต้องนึกถึงสิ่งเลวร้ายแล้ว มันยังเป็นแรงผลักดันให้ผมก้าวเดินต่อไปในแต่ละวันด้วย แม้ว่าการย่างก้าวนั้นจะดูไร้จุดหมาย แต่ผมก็เชื่อว่าสักวันหนึ่งมันต้องพาผมไปยังที่ที่ผมควรอยู่เป็นแน่

ผมมองนาฬิกาเมื่อเริ่มรู้สึกถึงไอความร้อนจากแสงแดด ที่จริงผมไม่จำเป็นต้องดูเวลาก็ได้ เพราะความร้อนที่ผมสัมผัสนั้นคล้ายจะคอยเตือนผมอยู่เสมอ แต่ผมก็ยังคงดูนาฬิกาอยู่ดี แล้วมันก็เป็นเวลาตามที่ผมคิดไว้ ได้เวลารดน้ำต้นไม้แล้ว ทุกครั้งที่ผมรดน้ำให้กับต้นไม้ที่มีอยู่น้อยนิดตรงริมระเบียงเดียวกับที่ผมนั่งนั้น ผมไม่รู้สึกถึงตัวตนของตัวเองเลย มันคงเป็นการดีถ้าผมจะสามารถยืนรดน้ำอย่างนี้ได้ทั้งวัน

ผมมองออกไปยังฟ้าไกล พยายามจะมองหาเส้นขอบฟ้าแม้จะมีตึกรามสูงใหญ่ขวางกั้นก็ตาม ผมไม่เคยมองเห็นไปไกลกว่าที่เห็นอยู่เลยสักครั้ง แต่ผมก็ยังมองออกไปไกลทุกครั้งที่รดน้ำต้นไม้อยู่ ผมไม่จำเป็นต้องมองสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่ ผมจะรู้เองว่าควรจะต้องหยุดเมื่อไร ถ้าทุกเรื่องในชีวิตผมเป็นอย่างเช่นการรดน้ำต้นไม้ก็คงจะดีไม่น้อย ผมคิดเสมอว่าชีวิตมันเรียบง่าย แต่ทว่าผมกลับพบเจอแต่ความซับซ้อน

...

แม้จะล่วงเลยเวลาข้าวกลางวันมาแล้ว แต่ผมก็ไม่รู้สึกหิว ผมเป็นอย่างนี้ทุกวันจนผมคิดว่าผมควรจะเปลี่ยนเวลากินข้าวกลางวันให้ตรงกับการกินข้างกลางวันจริงๆ ของผม ผมจะได้เลิกกินข้าวไม่ตรงเวลาเสียที

เวลาผมกินข้าวกลางวันนั้น แม้จะร้อนสักแค่ไหนผมก็ยังคงนั่งอยู่ที่เดียวกับที่ผมนั่งในตอนเช้า แม้แดดจะไม่ได้ปะทะกับผมโดยตรง แต่ไอร้อนจากจานข้าวก็เพิ่มความร้อนให้ผมไม่น้อยเลย ผมจะกินข้าวมื้อนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อจะได้ถึงเวลาดื่มน้ำเย็นๆ สักแก้วหรือสองแก้ว ไม่มีเวลาไหนที่จะดื่มน้ำเย็นได้ชื่นใจเท่าเวลานี้อีกแล้ว

ตอนนี้ร่างกายผมพร้อมแล้ว ผมเข้าไปเปิดเพลงจากเครื่องเล่นแผ่นเสียงแสนเก่าคร่ำครึ เสียงเพลงชวนฝันล่องลอยอยู่ช่วยให้อุณหภูมิรอบๆ ตัวผมค่อยๆ เย็นลง ผมกลับไปนั่งที่เดิมโดยไม่ลืมหยิบบุหรี่ติดมือมาด้วย ผมซื้อบุหรี่ซองนี้มานานแล้วซึ่งมันไม่หมดสักทีเพราะผมไม่เคยสูบมันเลยสักครั้ง ทุกวันผมจะหยิบออกมามวนหนึ่งแล้วถือไว้อย่างนั้นจนผมเผลอหลับไปอย่างไม่รู้ตัว เมื่อผมตื่นขึ้นมาเพราะเสียงเพลงสะดุด บุหรี่ที่ผมคีบไว้ก็จะหล่นลงพื้น ผมก็ได้แต่เก็บมันขึ้นมาแล้วใส่ไว้ในซองตามเดิม และวันนี้ผมคิดว่าคงไม่ต่างไปจากทุกวัน

...

ผมตื่นขึ้นมาพบกับฟ้ามืด ผมไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองเผลอหลับไปตอนไหน เสียงเพลงดูท่าจะเงียบไปนานแล้ว ผมเองก็แปลกใจว่าทำไมวันนี้แผ่นเสียงถึงได้เล่นได้อย่างราบลื่นไม่มีสะดุด ผมเก็บบุหรี่กลับเข้ามาโดยไม่สนใจมวนที่หล่นอยู่บนพื้น

แม้จะมืดจนแทบมองอะไรไม่เห็น แต่ผมก็ไม่คิดจะเปิดไฟ และผมก็เกลียดความมืดมาก แต่ผมก็ไม่คิดจะเปิดไฟอยู่ดี เบียร์หนึ่งกระป๋องตั้งวางไว้บนโต๊ะ ผมนั่งลงที่เดิมที่เดียวกับที่นั่งเมื่อตอนเช้า เอนหลังอย่างสบายอารมณ์พร้อมกับเอื้อมมือไปเปิดกระป๋อง ตอนนี้มันยังเย็นเกินไปที่ผมจะดื่ม ผมชอบดื่มในช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านจากความเย็นไปสู่ความไม่เย็นมากกว่า

ผมรู้สึกได้ดีว่าวันนี้นั้นต่างจากทุกวันที่ผ่านมา ถึงกระนั้นความมืดรอบๆ กายก็ยังคงคุกคามผมอยู่เป็นระยะๆ เหมือนเดิม ผมเตรียมพร้อมจะรับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้าข้างหน้า ผมรีบกระดกเบียร์ลงสู่ลำคอรวดเดียวเกือบครึ่งกระป๋อง ความเย็นของมันไม่มีความหมายเลย ผมรู้สึกถึงความร้อนที่ค่อยๆแผ่กระจายไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย หัวใจผมเต้นถี่ขึ้น ผมรีบยกซดเบียร์ที่เหลือลงไปจนหมดทันทีเพราะนี่ก็ใกล้ถึงเวลาเข้าไปทุกทีแล้ว

ไม่นานนักสถานการณ์ก็เป็นอย่างที่ผมคิดไว้ เธอปรากฎขึ้นต่อหน้าผม ผมไม่อาจทราบได้ว่าสายตาเธอจับจ้องไปที่ใดแม้ผมจะเจอเธอทุกคืนก็ตาม แต่อย่างน้อยผมก็มั่นใจว่านั่นไม่ใช่สายตาที่เหม่อลอยแน่ เธอหันหน้ามาทางผม เรือนร่างของเธอเปียกโชกตั้งแต่เส้นผมไปจนถึงปลายเท้า ปกติเวลาที่ผมเธอเปียกจะดูดำขลับสวยงามแต่ที่ผมเห็นอยู่นั้นมันช่างยุ่งเหยิง หยดน้ำจากเส้นผมไหลไปตามใบหน้าเธอปะปนไปกับน้ำตา นี่เธอกำลังร้องไห้ แม้ผมจะไม่ได้สัมผัสผมก็รู้ได้ว่าน้ำตาเธอนั้นอบอุ่นกว่าสายน้ำที่เลียบไหลไปตามใบหน้าของเธอแน่ๆ เธอค่อยๆ เอนหลังไปช้าๆ จนกายของเธอค่อยๆ ร่วงหล่นหายไป

แล้วภาพเหตุการณ์ก่อนหน้าในวันนั้นก็ปะทุขึ้นมาในหัวผมอย่างไม่หยุดยั้ง ยิ่งผมพยายามสลัดมันออกเท่าไรมันก็ยิ่งชัดเจนขึ้นเท่านั้น ผมไม่เคยคิดจะทำร้ายเธอเลย ผมสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ทำให้เธอต้องเสียใจเด็ดขาด ในวันนั้นเธอเข้าใจผิดไปเอง เธอตีความทุกอย่างเอาตามที่เธอพอใจซึ่งมันทำให้เธอรู้สึกเสียใจ แต่เธอก็ยังเลือกทำจะเข้าใจแบบนั้น เธอไม่น่าทำแบบนั้นเลย เธอควรจะให้โอกาสผมได้อธิบายบอกเล่าเรื่องราวที่เป็นไปให้เธอฟังก่อน ผมพยายามจะบอกเธอแล้วแต่เธอเห็นความจริงของผมเป็นแค่ข้ออ้างเท่านั้น ผมหมดหนทางจะเยียวยาแล้วผมจึงเลือกที่จะเงียบไป ไม่ใช่แค่เพียงเงียบเสียง ผมตัดสินใจเงียบหายไปจากเธอ

ในช่วงเช้าของวันฝนตกวันหนึ่งปลายฤดูฝน ผมก็ได้รับข่าวที่ทำให้ผมต้องย้อนกลับไปหาเธอแต่คราวนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะได้เจอเธอ ซึ่งจะได้เห็นเธอแค่เพียงร่างกายเท่านั้น นับจากวันนั้นมาฝนก็ไม่ตกลงมาอีกเลย

...

ผมรู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อใบหน้าผมได้สัมผัสกับละอองน้ำเย็นๆ ดูจากร่องรอยแล้วฝนน่าจะตกลงมาตั้งแต่เช้ามืดและเพิ่งมาเทกระหน่ำเอาเมื่อไม่กี่นาทีนี้ ผมรู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่ฝนตกลงมาในวันนี้ มันทำให้เช้านี้ไร้แสงทอประกายและการรดน้ำต้นไม้ก็ไม่จำเป็น ผมเดินไปหยิบบุหรี่แล้วจุดสูบทันทีเหมือนกับว่าผมกำลังรอคอยวันนี้อยู่

ผมเดินออกไปจนยืนชิดขอบระเบียง เงยหน้าขึ้นท้าสายฝนจนเปียกชุ่มไปทั้งตัว ผมค่อยๆ หันหลังกลับ จุดบุหรี่อีกตัวแทนของเก่าที่ถูกฝนชโลม ควันลอยล่องอยู่เบื้องหน้า เมื่อมองทะลุไปผมมองเห็นกรอบรูปที่มีภาพถ่ายของเธออยู่ ผมเป็นคนถ่ายภาพนี้ให้เธอและเป็นภาพเธอที่ผมชอบที่สุด ผมเริ่มมองเห็นความผิดพลาดที่ผมได้กระทำ ผมมองเห็นทิฐิที่มันอัดแน่นอยู่ในตัวผม สายน้ำโลมไล้ไปทั่วใบหน้า ทว่าผมสัมผัสได้ถึงไออุ่นที่มาพร้อมกับหยดน้ำสองสายที่ไม่ได้มาจากสายฝน ผมไม่มีอะไรต้องอธิบายอีกต่อไป ไม่มีแม้แต่ข้ออ้าง ผมอยากให้เธออภัยผม แต่ก็คงไม่มีโอกาสอีกแล้ว ผมค่อยๆ เอนหลังช้าๆ เม็ดฝนปะทะใบหน้าก่อเกิดความเจ็บปวดแทรกซึมเข้าไปในใจผมเรื่อยๆ จนเริ่มชา ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังโบยบินอย่างอ่อนแรง ไร้พลัง และไร้ทิศทาง

ฝนเลือด

ซันรู้สึกแปลกใจขึ้นมาทันทีเมื่อเขามองออกไปภายนอกแล้วพบว่าฝนกำลังเทกระหน่ำลงมาอย่างไม่บันยะบันยัง ราวกับว่าฟ้านั้นกำลังได้ระบายอารมณ์ที่เก็บกดไว้เนิ่นนาน ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องเกินความจริงเลยหากจะเปรียบเทียบเช่นนั้น

ซันจำไม่ได้แล้วว่า ครั้งสุดท้ายที่ฝนตกคือเมื่อไรกัน สิบปี ยี่สิบปี หรืออาจจะมากกว่านั้น เขาจำได้แค่เพียงว่า เมื่อใดที่เขาได้สัมผัสสายฝนอันเย็นฉ่ำนั้น มันทำให้เขารู้สึกสดชื่นไม่น้อยเลย และคงไม่แปลกอะไรหากเขาปรารถนาจะได้สัมผัสแบบนั้นอีกครั้งในเมื่อมีโอกาสมาอยู่ตรงหน้าแล้ว

เขาเดินไปจนถึงริมอาคาร ยังไม่กล้าที่จะก้าวออกไป เป็นเพราะอาการตื่นเต้นเหมือนกับตอนที่ได้พบกับหญิงสาวคนรักที่ไม่ได้เจอกันมานาน แต่ด้วยความคิดถึงที่มีทำให้เขาอดใจต่อไปไม่ไหว ถึงกระนั้นเขาก็ไม่วู่วามผลีผลาม เขาเพียงแค่ค่อยๆ ยื่นมือออกไปให้มากพอจะให้สายฝนอันเย็นฉ่ำได้สัมผัสมือของเขา และเมื่อฝนเม็ดหนึ่งสัมผัสถูกมือของเขา...

ฉึก!

เม็ดฝนได้ทิ่มแทงทะลุผ่านมือของเขาเกิดเป็นสายเลือดคละเคล้าไปกับสายฝนเม็ดนั้นตกลงสู่พื้นทันที เขารีบดึงมือกลับ ความสงสัยประดังเขามาในหัวของเขาอย่างไม่ขาดสาย

‘นี่มันอะไรกัน!?’
‘นี่มันอะไรกัน!?’
‘นี่มันอะไรกัน!?’
‘นี่มันอะไรกัน!?’


ฝนที่ไม่เคยตกลงมานานหลายสิบปีได้นำพาความคิดถึงมาสู่ผู้ที่เคยได้สัมผัส แต่ในตอนนี้ ซันต้องพบกับความเจ็บปวด เมื่อสายฝนที่เขาเคยรู้จัก ที่เคยนำความสดชื่นและชุ่มฉ่ำมาให้กับเขา บัดนี้กลับทำร้ายเขาด้วยการทิ่มแทงทะลุผ่านใจกลางมือ ราวกับศรธนูจากฟากฟ้าที่กำลังพิโรธ

แล้วเขาก็นึกขึ้นได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ฝนตกนั้น คือเมื่อ 40 ปีก่อน ครั้งนั้นฝนได้เทกระหน่ำลงมาอย่างหนักพอๆ กับภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าเขาขณะนี้ แต่ฝนครานั้นไม่รุนแรงเหมือนคราวนี้ ฝนตกลงมาอย่างหนักตลอด 3 เดือน ทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันมากมายตามพื้นที่หลายแห่งทั่วโลก และไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตกในเร็ววัน
เวลาล่วงเลยผ่านไปอีกกว่า 3 เดือน และเป็นเวลา 3 เดือนที่เขาซุกตัวอยู่บนเรือสำราญขนาดใหญ่ เขาไม่รู้ว่าฝนหยุดตกไปเมื่อไร รู้แต่เพียงว่าขณะนี้น้ำกำลังท่วมโลก และเขาคือผู้รอดชีวิต

ไม่เกินครึ่งปีน้ำก็ลดลงสู่ระดับปกติ แล้วเขาก็พบว่าไม่ได้มีแค่เขาเพียงคนเดียวที่รอดชีวิต หรือน่าจะพูดได้ว่า ฝนที่ดูเหมือนจะตกลงมาเพื่อชำระล้างโลกที่แสนสกปรกอันเกิดจากน้ำมือมนุษย์นั้น ไม่ได้ช่วยให้โลกสะอาดขึ้นเลย เพราะสุดท้ายก็มีแต่มนุษย์ที่เอาชีวิตรอดได้มากที่สุด


เมื่อซันมองดูบาดแผลบนมือของเขาที่เป็นช่องโหว่ขนาดเม็ดฝนเม็ดหนึ่ง เขาก็ฉุกคิดขึ้นมาได้อย่างหนึ่ง

‘หรือฝนครั้งนี้จะเป็นฝนที่ต้องการล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์อย่างแท้จริง... ทั้งๆ ที่มองดูแล้วก็เหมือนฝนทั่วๆ ไปที่เคยตกมาบนโลกใบนี้ พอเม็ดฝนกระทบกับวัตถุ มันก็แตกกระจายไปตามธรรมชาติของสายน้ำ แต่เหตุอันใดเล่าเมื่อมาสัมผัสผิวมนุษย์มันกลับแทงทะลุทันที’

“อ่อดดด...”

เสียงอ่อดดังขึ้น เป็นสัญญาณบอกเวลาเลิกเรียน อาคารที่ซันยืนอยู่นั้นคือาคารเรียนสำหรับเด็กประถมแห่งหนึ่งใจกลางเมืองใหญ่ แล้วเขาก็รับรู้ถึงอันตรายที่กำลังจะเกิดขึ้นกับเหล่าเด็กนักเรียนและใครอีกหลายคน
ไม่นานนักเสียงฝีเท้าของเด็กคนหนึ่งวิ่งมาทางเขา เขาหันไปมองที่มาของเสียงนั้นซึ่งเป็นเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ มองจากสีหน้าที่แฝงแววมุ่งมั่นแล้ว เด็นคนนี้ต้องหมายที่จะวิ่งออกไปท้าทายสายฝนเป็นแน่ ยิ่งเด็กๆ สมัยนี้รู้จักสายฝนแต่เพียงในบทเรียนเท่านั้น ก็คงจะตื่นเต้นเหมือนได้ของเล่นใหม่ที่เคยเห็นแต่ในโทรทัศน์ และไม่รอช้าที่จะได้สัมผัสของจริงตรงหน้า

เมื่อเห็นท่าทางดังนั้นของเด็กน้อย ซันก็รีบคว้าตัวเด็กคนนั้นไว้เพื่อห้ามไม่ให้เขาวิ่งออกไป

“อย่าออกไปเด็ดขาดเลยนะ ไอ้หนู!”
“ทำไมล่ะครับ ก็ผมอยากรู้นี่ ว่าฝนเป็นยังไง”
“ไม่ได้นะ นั่นมันต่างจากฝนที่เธอรู้มา”
“ต่างกันยังไงล่ะฮะ?”
“ดูที่มือครูสิ...”

เมื่อซันกำลังจะอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาให้เด็กน้อยได้ฟัง เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นอีก แต่คราวนี้ไม่สามารถบอกจำนวนที่แน่นอนได้เลย

เด็กๆ กลุ่มใหญ่ทั้งหญิงและชายปะปนกันไปวิ่งกรูลงมาจากบันไดทั้งทางซ้ายและทางขวา โดยมีจุดมุ่งหมายแน่แท้เป็นสิ่งเดียวกันกับเด็กชายคนแรก ซันไม่รอช้ารีบห้ามเด็กๆ พวกนั้นทันที

“หยุดก่อนนะ พวกเธอ! ออกไปไม่ได้นะ!!”


ยังไม่ทันจบประโยคดี เด็กๆ ที่พกพาความกระหายใคร่รู้และความตื่นเต้นถึงขีดสุดก็พากันวิ่งไปตรงทางออกอาคารตรงจุดที่ซันยืนอยู่ ไม่มีใครสนใจสิ่งที่เขากำลังจะบอก ทุกคนวิ่งพร้อมจะวิ่งออกไปข้างนอก รวมทั้งเด็กชายคนแรก เมื่อเห็นเพื่อนๆ วิ่งมาแบบนั้นแล้ว ความตื่นเต้นก็กลับมาพร้อมความสนุกสนานที่เขาคาดหวังว่าจะต้องได้มาเมื่อออกไปสัมผัสสายฝนพร้อมกับเหล่าเพื่อนพ้อง แล้วเด็กชายคนนั้นก็หันหลังให้กับซัน ทะยานตัวออกวิ่งนำเพื่อนๆ ทันที

เด็กๆ ที่เหลือวิ่งตามไปอย่างไม่รอช้าพร้อมกับดันซันที่กำลังยืนขวางทางพวกเขาอยู่ให้ออกไปข้างนอกด้วย โดยพวกเขาหวังว่าจะได้เห็นซันสนุกอยู่กับพวกเขา และเพื่อเปิดทางให้กับเด็กคนอื่นๆ ที่วิ่งเข้ามาสมทบมากขึ้นเรื่อยๆ

จากจำนวนของเด็กๆ ที่วิ่งลงมาอย่างไม่ขาดสาย ทำให้ซันไม่สามารถจะต้านทานต่อไปได้อีก เขาค่อยๆ โดนเด็กๆ ดันให้เดินถอยหลังไปทีละก้าว จนในที่สุดเขาก็ล้มหงายหลังลง เมื่อเด็กๆ เห็นเช่นนั้น พวกเขาก็พร้อมใจกันแบกซันไว้ด้านบน แม้น้ำหนักตัวของซันที่เป็นผู้ใหญ่นั้น เด็กๆ คงแบกเขาไม่ไหว แต่ในอารมณ์ตื่นเต้นและอยากสนุกเต็มที่ของเด็กๆ และทุกคนก็ร่วมด้วยช่วยกัน ทำให้ซันกำลังเล่นบอดี้เซิร์ฟภาคบังคับโดยเด็กประถมกลุ่มใหญ่

เริ่มจากเด็กคนแรก ตามด้วยเด็กๆ ที่แบกซันตามมา และเด็กๆ ที่เหลือ ทั้งหมดต่างก็วิ่งออกไปนอกตัวอาคาร แล้วฝนที่กำลังโหมกระหน่ำก็ซัดถูกร่างกายของเด็กๆ เหล่านั้น สายฝนหล่นลงทิ่มแทงทะลุผ่านร่างกายของเด็กๆ บ้างโดนที่ไหล่ แขน ศีรษะ และที่สำคัญ ซันผู้ถูกแบกหงายหน้าเข้าหาท้องฟ้าย่อมไม่รอดจากการถูกทิ่มแทงโดยสายฝน ซ้ำยังทะลุผ่านไปถึงเด็กๆ ที่อยู่ใต้ตัวเขาด้วย แล้วเพียงไม่กี่วินาที ลานกว้างหน้าอาคารเรียนก็นองไปด้วยเลือด เมื่อมองด้วยมุมมองที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ ก็จะเห็นได้ว่าตามพื้นที่ต่างๆ ทั่วทั้งเมือง ถนนหนทาง ลานกว้างหน้าอาคารอื่นๆ สวนสาธารณะ ตลาด หรือที่ใดก็ตามที่อยู่กลางแจ้งและมีผู้คน ทุกที่ต่างก็นองไปด้วยเลือดจนดูเหมือนว่าสายฝนที่กำลังตกลงไปนั้นเป็นสายเลือดเสียเอง