April 20, 2009

คำกล่าวโทษจากสายฝน

เช้าวันนี้เป็นเช้าที่สดใส ไอดินกลิ่นหญ้าปะปนอยู่กับความชื้นในอากาศ แม้แต่ในเมืองที่วุ่นวายเช่นนี้ก็ยังมีกลิ่นที่เต็มไปด้วยความสดชื่น แสงแดดอ่อนๆ ส่องผ่านเข้ามาพร้อมกับลมเย็นๆ ชวนให้ใครต่อใครรู้สึกเหมือนได้ชุบตัวก่อนจะออกไปผจญกับโลกภายนอก สำหรับคนอื่นทั่วไปแล้วมันก็คงแค่นั้น เมื่อพวกเขาต้องพบกับความโกลาหลที่วิ่งพล่านอยู่ในทุกรูขุมขนของคนเมือง ไม่นานพวกเขาก็จะลืมช่วงเวลาเหล่านี้ไป

สำหรับผมแล้วช่วงยามอันงดงามอย่างตอนนี้เปรียบเสมือนสวนสวรรค์กลางทะเลทรายอันทำให้ผมได้ผ่อนคลายจากการต้องอยู่กับการถูกหลอกหลอนตลอดทั้งคืน ช่วงยามนี้จึงเป็นห้วงเวลาที่มีความหมายและมีความสำคัญสำหรับผมมาก แทนที่ผมจะลืมมันอย่างคนอื่น แต่กลับกลายเป็นว่ามันทำให้ผมลืมเรื่องราวอื่นๆ ที่ได้ผ่านเข้ามา ผมพยายามจะจดจำภาพที่ปรากฏเบื้องหน้านี้พร้อมกับกลิ่นที่ลอยมาตามลม และเสียงอันไพเราะให้ได้อย่างแม่นยำไปตลอดทั้งวัน นอกจากจะทำให้ผมไม่ต้องนึกถึงสิ่งเลวร้ายแล้ว มันยังเป็นแรงผลักดันให้ผมก้าวเดินต่อไปในแต่ละวันด้วย แม้ว่าการย่างก้าวนั้นจะดูไร้จุดหมาย แต่ผมก็เชื่อว่าสักวันหนึ่งมันต้องพาผมไปยังที่ที่ผมควรอยู่เป็นแน่

ผมมองนาฬิกาเมื่อเริ่มรู้สึกถึงไอความร้อนจากแสงแดด ที่จริงผมไม่จำเป็นต้องดูเวลาก็ได้ เพราะความร้อนที่ผมสัมผัสนั้นคล้ายจะคอยเตือนผมอยู่เสมอ แต่ผมก็ยังคงดูนาฬิกาอยู่ดี แล้วมันก็เป็นเวลาตามที่ผมคิดไว้ ได้เวลารดน้ำต้นไม้แล้ว ทุกครั้งที่ผมรดน้ำให้กับต้นไม้ที่มีอยู่น้อยนิดตรงริมระเบียงเดียวกับที่ผมนั่งนั้น ผมไม่รู้สึกถึงตัวตนของตัวเองเลย มันคงเป็นการดีถ้าผมจะสามารถยืนรดน้ำอย่างนี้ได้ทั้งวัน

ผมมองออกไปยังฟ้าไกล พยายามจะมองหาเส้นขอบฟ้าแม้จะมีตึกรามสูงใหญ่ขวางกั้นก็ตาม ผมไม่เคยมองเห็นไปไกลกว่าที่เห็นอยู่เลยสักครั้ง แต่ผมก็ยังมองออกไปไกลทุกครั้งที่รดน้ำต้นไม้อยู่ ผมไม่จำเป็นต้องมองสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่ ผมจะรู้เองว่าควรจะต้องหยุดเมื่อไร ถ้าทุกเรื่องในชีวิตผมเป็นอย่างเช่นการรดน้ำต้นไม้ก็คงจะดีไม่น้อย ผมคิดเสมอว่าชีวิตมันเรียบง่าย แต่ทว่าผมกลับพบเจอแต่ความซับซ้อน

...

แม้จะล่วงเลยเวลาข้าวกลางวันมาแล้ว แต่ผมก็ไม่รู้สึกหิว ผมเป็นอย่างนี้ทุกวันจนผมคิดว่าผมควรจะเปลี่ยนเวลากินข้าวกลางวันให้ตรงกับการกินข้างกลางวันจริงๆ ของผม ผมจะได้เลิกกินข้าวไม่ตรงเวลาเสียที

เวลาผมกินข้าวกลางวันนั้น แม้จะร้อนสักแค่ไหนผมก็ยังคงนั่งอยู่ที่เดียวกับที่ผมนั่งในตอนเช้า แม้แดดจะไม่ได้ปะทะกับผมโดยตรง แต่ไอร้อนจากจานข้าวก็เพิ่มความร้อนให้ผมไม่น้อยเลย ผมจะกินข้าวมื้อนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อจะได้ถึงเวลาดื่มน้ำเย็นๆ สักแก้วหรือสองแก้ว ไม่มีเวลาไหนที่จะดื่มน้ำเย็นได้ชื่นใจเท่าเวลานี้อีกแล้ว

ตอนนี้ร่างกายผมพร้อมแล้ว ผมเข้าไปเปิดเพลงจากเครื่องเล่นแผ่นเสียงแสนเก่าคร่ำครึ เสียงเพลงชวนฝันล่องลอยอยู่ช่วยให้อุณหภูมิรอบๆ ตัวผมค่อยๆ เย็นลง ผมกลับไปนั่งที่เดิมโดยไม่ลืมหยิบบุหรี่ติดมือมาด้วย ผมซื้อบุหรี่ซองนี้มานานแล้วซึ่งมันไม่หมดสักทีเพราะผมไม่เคยสูบมันเลยสักครั้ง ทุกวันผมจะหยิบออกมามวนหนึ่งแล้วถือไว้อย่างนั้นจนผมเผลอหลับไปอย่างไม่รู้ตัว เมื่อผมตื่นขึ้นมาเพราะเสียงเพลงสะดุด บุหรี่ที่ผมคีบไว้ก็จะหล่นลงพื้น ผมก็ได้แต่เก็บมันขึ้นมาแล้วใส่ไว้ในซองตามเดิม และวันนี้ผมคิดว่าคงไม่ต่างไปจากทุกวัน

...

ผมตื่นขึ้นมาพบกับฟ้ามืด ผมไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองเผลอหลับไปตอนไหน เสียงเพลงดูท่าจะเงียบไปนานแล้ว ผมเองก็แปลกใจว่าทำไมวันนี้แผ่นเสียงถึงได้เล่นได้อย่างราบลื่นไม่มีสะดุด ผมเก็บบุหรี่กลับเข้ามาโดยไม่สนใจมวนที่หล่นอยู่บนพื้น

แม้จะมืดจนแทบมองอะไรไม่เห็น แต่ผมก็ไม่คิดจะเปิดไฟ และผมก็เกลียดความมืดมาก แต่ผมก็ไม่คิดจะเปิดไฟอยู่ดี เบียร์หนึ่งกระป๋องตั้งวางไว้บนโต๊ะ ผมนั่งลงที่เดิมที่เดียวกับที่นั่งเมื่อตอนเช้า เอนหลังอย่างสบายอารมณ์พร้อมกับเอื้อมมือไปเปิดกระป๋อง ตอนนี้มันยังเย็นเกินไปที่ผมจะดื่ม ผมชอบดื่มในช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านจากความเย็นไปสู่ความไม่เย็นมากกว่า

ผมรู้สึกได้ดีว่าวันนี้นั้นต่างจากทุกวันที่ผ่านมา ถึงกระนั้นความมืดรอบๆ กายก็ยังคงคุกคามผมอยู่เป็นระยะๆ เหมือนเดิม ผมเตรียมพร้อมจะรับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้าข้างหน้า ผมรีบกระดกเบียร์ลงสู่ลำคอรวดเดียวเกือบครึ่งกระป๋อง ความเย็นของมันไม่มีความหมายเลย ผมรู้สึกถึงความร้อนที่ค่อยๆแผ่กระจายไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย หัวใจผมเต้นถี่ขึ้น ผมรีบยกซดเบียร์ที่เหลือลงไปจนหมดทันทีเพราะนี่ก็ใกล้ถึงเวลาเข้าไปทุกทีแล้ว

ไม่นานนักสถานการณ์ก็เป็นอย่างที่ผมคิดไว้ เธอปรากฎขึ้นต่อหน้าผม ผมไม่อาจทราบได้ว่าสายตาเธอจับจ้องไปที่ใดแม้ผมจะเจอเธอทุกคืนก็ตาม แต่อย่างน้อยผมก็มั่นใจว่านั่นไม่ใช่สายตาที่เหม่อลอยแน่ เธอหันหน้ามาทางผม เรือนร่างของเธอเปียกโชกตั้งแต่เส้นผมไปจนถึงปลายเท้า ปกติเวลาที่ผมเธอเปียกจะดูดำขลับสวยงามแต่ที่ผมเห็นอยู่นั้นมันช่างยุ่งเหยิง หยดน้ำจากเส้นผมไหลไปตามใบหน้าเธอปะปนไปกับน้ำตา นี่เธอกำลังร้องไห้ แม้ผมจะไม่ได้สัมผัสผมก็รู้ได้ว่าน้ำตาเธอนั้นอบอุ่นกว่าสายน้ำที่เลียบไหลไปตามใบหน้าของเธอแน่ๆ เธอค่อยๆ เอนหลังไปช้าๆ จนกายของเธอค่อยๆ ร่วงหล่นหายไป

แล้วภาพเหตุการณ์ก่อนหน้าในวันนั้นก็ปะทุขึ้นมาในหัวผมอย่างไม่หยุดยั้ง ยิ่งผมพยายามสลัดมันออกเท่าไรมันก็ยิ่งชัดเจนขึ้นเท่านั้น ผมไม่เคยคิดจะทำร้ายเธอเลย ผมสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ทำให้เธอต้องเสียใจเด็ดขาด ในวันนั้นเธอเข้าใจผิดไปเอง เธอตีความทุกอย่างเอาตามที่เธอพอใจซึ่งมันทำให้เธอรู้สึกเสียใจ แต่เธอก็ยังเลือกทำจะเข้าใจแบบนั้น เธอไม่น่าทำแบบนั้นเลย เธอควรจะให้โอกาสผมได้อธิบายบอกเล่าเรื่องราวที่เป็นไปให้เธอฟังก่อน ผมพยายามจะบอกเธอแล้วแต่เธอเห็นความจริงของผมเป็นแค่ข้ออ้างเท่านั้น ผมหมดหนทางจะเยียวยาแล้วผมจึงเลือกที่จะเงียบไป ไม่ใช่แค่เพียงเงียบเสียง ผมตัดสินใจเงียบหายไปจากเธอ

ในช่วงเช้าของวันฝนตกวันหนึ่งปลายฤดูฝน ผมก็ได้รับข่าวที่ทำให้ผมต้องย้อนกลับไปหาเธอแต่คราวนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะได้เจอเธอ ซึ่งจะได้เห็นเธอแค่เพียงร่างกายเท่านั้น นับจากวันนั้นมาฝนก็ไม่ตกลงมาอีกเลย

...

ผมรู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อใบหน้าผมได้สัมผัสกับละอองน้ำเย็นๆ ดูจากร่องรอยแล้วฝนน่าจะตกลงมาตั้งแต่เช้ามืดและเพิ่งมาเทกระหน่ำเอาเมื่อไม่กี่นาทีนี้ ผมรู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่ฝนตกลงมาในวันนี้ มันทำให้เช้านี้ไร้แสงทอประกายและการรดน้ำต้นไม้ก็ไม่จำเป็น ผมเดินไปหยิบบุหรี่แล้วจุดสูบทันทีเหมือนกับว่าผมกำลังรอคอยวันนี้อยู่

ผมเดินออกไปจนยืนชิดขอบระเบียง เงยหน้าขึ้นท้าสายฝนจนเปียกชุ่มไปทั้งตัว ผมค่อยๆ หันหลังกลับ จุดบุหรี่อีกตัวแทนของเก่าที่ถูกฝนชโลม ควันลอยล่องอยู่เบื้องหน้า เมื่อมองทะลุไปผมมองเห็นกรอบรูปที่มีภาพถ่ายของเธออยู่ ผมเป็นคนถ่ายภาพนี้ให้เธอและเป็นภาพเธอที่ผมชอบที่สุด ผมเริ่มมองเห็นความผิดพลาดที่ผมได้กระทำ ผมมองเห็นทิฐิที่มันอัดแน่นอยู่ในตัวผม สายน้ำโลมไล้ไปทั่วใบหน้า ทว่าผมสัมผัสได้ถึงไออุ่นที่มาพร้อมกับหยดน้ำสองสายที่ไม่ได้มาจากสายฝน ผมไม่มีอะไรต้องอธิบายอีกต่อไป ไม่มีแม้แต่ข้ออ้าง ผมอยากให้เธออภัยผม แต่ก็คงไม่มีโอกาสอีกแล้ว ผมค่อยๆ เอนหลังช้าๆ เม็ดฝนปะทะใบหน้าก่อเกิดความเจ็บปวดแทรกซึมเข้าไปในใจผมเรื่อยๆ จนเริ่มชา ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังโบยบินอย่างอ่อนแรง ไร้พลัง และไร้ทิศทาง

No comments:

Post a Comment