April 20, 2009

ฝนเลือด

ซันรู้สึกแปลกใจขึ้นมาทันทีเมื่อเขามองออกไปภายนอกแล้วพบว่าฝนกำลังเทกระหน่ำลงมาอย่างไม่บันยะบันยัง ราวกับว่าฟ้านั้นกำลังได้ระบายอารมณ์ที่เก็บกดไว้เนิ่นนาน ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องเกินความจริงเลยหากจะเปรียบเทียบเช่นนั้น

ซันจำไม่ได้แล้วว่า ครั้งสุดท้ายที่ฝนตกคือเมื่อไรกัน สิบปี ยี่สิบปี หรืออาจจะมากกว่านั้น เขาจำได้แค่เพียงว่า เมื่อใดที่เขาได้สัมผัสสายฝนอันเย็นฉ่ำนั้น มันทำให้เขารู้สึกสดชื่นไม่น้อยเลย และคงไม่แปลกอะไรหากเขาปรารถนาจะได้สัมผัสแบบนั้นอีกครั้งในเมื่อมีโอกาสมาอยู่ตรงหน้าแล้ว

เขาเดินไปจนถึงริมอาคาร ยังไม่กล้าที่จะก้าวออกไป เป็นเพราะอาการตื่นเต้นเหมือนกับตอนที่ได้พบกับหญิงสาวคนรักที่ไม่ได้เจอกันมานาน แต่ด้วยความคิดถึงที่มีทำให้เขาอดใจต่อไปไม่ไหว ถึงกระนั้นเขาก็ไม่วู่วามผลีผลาม เขาเพียงแค่ค่อยๆ ยื่นมือออกไปให้มากพอจะให้สายฝนอันเย็นฉ่ำได้สัมผัสมือของเขา และเมื่อฝนเม็ดหนึ่งสัมผัสถูกมือของเขา...

ฉึก!

เม็ดฝนได้ทิ่มแทงทะลุผ่านมือของเขาเกิดเป็นสายเลือดคละเคล้าไปกับสายฝนเม็ดนั้นตกลงสู่พื้นทันที เขารีบดึงมือกลับ ความสงสัยประดังเขามาในหัวของเขาอย่างไม่ขาดสาย

‘นี่มันอะไรกัน!?’
‘นี่มันอะไรกัน!?’
‘นี่มันอะไรกัน!?’
‘นี่มันอะไรกัน!?’


ฝนที่ไม่เคยตกลงมานานหลายสิบปีได้นำพาความคิดถึงมาสู่ผู้ที่เคยได้สัมผัส แต่ในตอนนี้ ซันต้องพบกับความเจ็บปวด เมื่อสายฝนที่เขาเคยรู้จัก ที่เคยนำความสดชื่นและชุ่มฉ่ำมาให้กับเขา บัดนี้กลับทำร้ายเขาด้วยการทิ่มแทงทะลุผ่านใจกลางมือ ราวกับศรธนูจากฟากฟ้าที่กำลังพิโรธ

แล้วเขาก็นึกขึ้นได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ฝนตกนั้น คือเมื่อ 40 ปีก่อน ครั้งนั้นฝนได้เทกระหน่ำลงมาอย่างหนักพอๆ กับภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าเขาขณะนี้ แต่ฝนครานั้นไม่รุนแรงเหมือนคราวนี้ ฝนตกลงมาอย่างหนักตลอด 3 เดือน ทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันมากมายตามพื้นที่หลายแห่งทั่วโลก และไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตกในเร็ววัน
เวลาล่วงเลยผ่านไปอีกกว่า 3 เดือน และเป็นเวลา 3 เดือนที่เขาซุกตัวอยู่บนเรือสำราญขนาดใหญ่ เขาไม่รู้ว่าฝนหยุดตกไปเมื่อไร รู้แต่เพียงว่าขณะนี้น้ำกำลังท่วมโลก และเขาคือผู้รอดชีวิต

ไม่เกินครึ่งปีน้ำก็ลดลงสู่ระดับปกติ แล้วเขาก็พบว่าไม่ได้มีแค่เขาเพียงคนเดียวที่รอดชีวิต หรือน่าจะพูดได้ว่า ฝนที่ดูเหมือนจะตกลงมาเพื่อชำระล้างโลกที่แสนสกปรกอันเกิดจากน้ำมือมนุษย์นั้น ไม่ได้ช่วยให้โลกสะอาดขึ้นเลย เพราะสุดท้ายก็มีแต่มนุษย์ที่เอาชีวิตรอดได้มากที่สุด


เมื่อซันมองดูบาดแผลบนมือของเขาที่เป็นช่องโหว่ขนาดเม็ดฝนเม็ดหนึ่ง เขาก็ฉุกคิดขึ้นมาได้อย่างหนึ่ง

‘หรือฝนครั้งนี้จะเป็นฝนที่ต้องการล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์อย่างแท้จริง... ทั้งๆ ที่มองดูแล้วก็เหมือนฝนทั่วๆ ไปที่เคยตกมาบนโลกใบนี้ พอเม็ดฝนกระทบกับวัตถุ มันก็แตกกระจายไปตามธรรมชาติของสายน้ำ แต่เหตุอันใดเล่าเมื่อมาสัมผัสผิวมนุษย์มันกลับแทงทะลุทันที’

“อ่อดดด...”

เสียงอ่อดดังขึ้น เป็นสัญญาณบอกเวลาเลิกเรียน อาคารที่ซันยืนอยู่นั้นคือาคารเรียนสำหรับเด็กประถมแห่งหนึ่งใจกลางเมืองใหญ่ แล้วเขาก็รับรู้ถึงอันตรายที่กำลังจะเกิดขึ้นกับเหล่าเด็กนักเรียนและใครอีกหลายคน
ไม่นานนักเสียงฝีเท้าของเด็กคนหนึ่งวิ่งมาทางเขา เขาหันไปมองที่มาของเสียงนั้นซึ่งเป็นเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ มองจากสีหน้าที่แฝงแววมุ่งมั่นแล้ว เด็นคนนี้ต้องหมายที่จะวิ่งออกไปท้าทายสายฝนเป็นแน่ ยิ่งเด็กๆ สมัยนี้รู้จักสายฝนแต่เพียงในบทเรียนเท่านั้น ก็คงจะตื่นเต้นเหมือนได้ของเล่นใหม่ที่เคยเห็นแต่ในโทรทัศน์ และไม่รอช้าที่จะได้สัมผัสของจริงตรงหน้า

เมื่อเห็นท่าทางดังนั้นของเด็กน้อย ซันก็รีบคว้าตัวเด็กคนนั้นไว้เพื่อห้ามไม่ให้เขาวิ่งออกไป

“อย่าออกไปเด็ดขาดเลยนะ ไอ้หนู!”
“ทำไมล่ะครับ ก็ผมอยากรู้นี่ ว่าฝนเป็นยังไง”
“ไม่ได้นะ นั่นมันต่างจากฝนที่เธอรู้มา”
“ต่างกันยังไงล่ะฮะ?”
“ดูที่มือครูสิ...”

เมื่อซันกำลังจะอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาให้เด็กน้อยได้ฟัง เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นอีก แต่คราวนี้ไม่สามารถบอกจำนวนที่แน่นอนได้เลย

เด็กๆ กลุ่มใหญ่ทั้งหญิงและชายปะปนกันไปวิ่งกรูลงมาจากบันไดทั้งทางซ้ายและทางขวา โดยมีจุดมุ่งหมายแน่แท้เป็นสิ่งเดียวกันกับเด็กชายคนแรก ซันไม่รอช้ารีบห้ามเด็กๆ พวกนั้นทันที

“หยุดก่อนนะ พวกเธอ! ออกไปไม่ได้นะ!!”


ยังไม่ทันจบประโยคดี เด็กๆ ที่พกพาความกระหายใคร่รู้และความตื่นเต้นถึงขีดสุดก็พากันวิ่งไปตรงทางออกอาคารตรงจุดที่ซันยืนอยู่ ไม่มีใครสนใจสิ่งที่เขากำลังจะบอก ทุกคนวิ่งพร้อมจะวิ่งออกไปข้างนอก รวมทั้งเด็กชายคนแรก เมื่อเห็นเพื่อนๆ วิ่งมาแบบนั้นแล้ว ความตื่นเต้นก็กลับมาพร้อมความสนุกสนานที่เขาคาดหวังว่าจะต้องได้มาเมื่อออกไปสัมผัสสายฝนพร้อมกับเหล่าเพื่อนพ้อง แล้วเด็กชายคนนั้นก็หันหลังให้กับซัน ทะยานตัวออกวิ่งนำเพื่อนๆ ทันที

เด็กๆ ที่เหลือวิ่งตามไปอย่างไม่รอช้าพร้อมกับดันซันที่กำลังยืนขวางทางพวกเขาอยู่ให้ออกไปข้างนอกด้วย โดยพวกเขาหวังว่าจะได้เห็นซันสนุกอยู่กับพวกเขา และเพื่อเปิดทางให้กับเด็กคนอื่นๆ ที่วิ่งเข้ามาสมทบมากขึ้นเรื่อยๆ

จากจำนวนของเด็กๆ ที่วิ่งลงมาอย่างไม่ขาดสาย ทำให้ซันไม่สามารถจะต้านทานต่อไปได้อีก เขาค่อยๆ โดนเด็กๆ ดันให้เดินถอยหลังไปทีละก้าว จนในที่สุดเขาก็ล้มหงายหลังลง เมื่อเด็กๆ เห็นเช่นนั้น พวกเขาก็พร้อมใจกันแบกซันไว้ด้านบน แม้น้ำหนักตัวของซันที่เป็นผู้ใหญ่นั้น เด็กๆ คงแบกเขาไม่ไหว แต่ในอารมณ์ตื่นเต้นและอยากสนุกเต็มที่ของเด็กๆ และทุกคนก็ร่วมด้วยช่วยกัน ทำให้ซันกำลังเล่นบอดี้เซิร์ฟภาคบังคับโดยเด็กประถมกลุ่มใหญ่

เริ่มจากเด็กคนแรก ตามด้วยเด็กๆ ที่แบกซันตามมา และเด็กๆ ที่เหลือ ทั้งหมดต่างก็วิ่งออกไปนอกตัวอาคาร แล้วฝนที่กำลังโหมกระหน่ำก็ซัดถูกร่างกายของเด็กๆ เหล่านั้น สายฝนหล่นลงทิ่มแทงทะลุผ่านร่างกายของเด็กๆ บ้างโดนที่ไหล่ แขน ศีรษะ และที่สำคัญ ซันผู้ถูกแบกหงายหน้าเข้าหาท้องฟ้าย่อมไม่รอดจากการถูกทิ่มแทงโดยสายฝน ซ้ำยังทะลุผ่านไปถึงเด็กๆ ที่อยู่ใต้ตัวเขาด้วย แล้วเพียงไม่กี่วินาที ลานกว้างหน้าอาคารเรียนก็นองไปด้วยเลือด เมื่อมองด้วยมุมมองที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ ก็จะเห็นได้ว่าตามพื้นที่ต่างๆ ทั่วทั้งเมือง ถนนหนทาง ลานกว้างหน้าอาคารอื่นๆ สวนสาธารณะ ตลาด หรือที่ใดก็ตามที่อยู่กลางแจ้งและมีผู้คน ทุกที่ต่างก็นองไปด้วยเลือดจนดูเหมือนว่าสายฝนที่กำลังตกลงไปนั้นเป็นสายเลือดเสียเอง

1 comment:

  1. น่ากลัวจังพี่เน สยองมาก

    ReplyDelete